Support
หมอเส็ง-แจนช็อป
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
guest

Post : 2014-06-15 21:52:09.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  โรค SLE คืออะไร

โรค SLE คืออะไร

โรค SLE คืออะไร..

โรค SLE หรือ Lupus (ชาวบ้านทั่วไปมักรู้จักในนามโรคพุ่มพวง) นับว่าเป็นโรคแปลกประหลาดโรคหนึ่งเนื่องจากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับอวัยวะได้หลายระบบ เช่น ผิวหนัง กระดูกไต ปอด หัวใจ สมอง ประสาทและเลือด เป็นต้น คนที่เป็นโรคนี้แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันเป็นอย่างมาก จึงมักจะสร้างความปวดหัวให้กับแพทย์ในการวินิจฉัยโรคว่าเป็นโรคอะไรกันแน่

SLE มีอาการอย่างไรบ้าง...

อาการของ SLE มีความหลากหลายมากเนื่องจากคนที่ป่วยเป็นโรคนี้มีโอกาสเกิดความ ผิดปกติขึ้นได้กับทุกๆ ระบบและทุกๆ อวัยวะของร่างกาย เช่น ผิวหนัง เยื่อเมือก ขนและผม ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ การทำงานของไต ระบบประสาท ระบบการไหลเวียนของโลหิต หัวใจ ปอดและระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น แล้วแต่จะแสดงอาการผิดปกติออกมาในส่วนใดของ ร่างกายและจะเป็นหนักในระบบใด ไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกระบบและไม่จำเป็นต้องมีอาการ มาก ในบางคนอาจมีเพียงอาการที่ก่อให้เกิดความรำคาญไปเรื่อยๆ แต่บางครั้งถึงแม้เป็นเพียง ช่วงเวลาสั้นๆ ก็จะทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากความผิดปกติไปเกิดที่ไตหรือสมองหรือมีการ ติดเชื้อรุนแรงแทรกซ้อน

ใครบ้างมีโอกาสเป็น SLE...

SLE เป็นกันได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบในช่วงอายุ 20-45 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 10 เท่า โดยเฉพาะจะพบมากในผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย จะสังเกตอาการด้วยตนเองอย่างไร... อาการที่สามารถสังเกตได้คือ มีผื่นหรือฝ้าแดงขึ้นที่ข้างจมูกทั้งสองข้างซึ่งมีลักษณะเหมือนปีกผีเสื้อ แพ้แสงแดด มีแผลในช่องปากและเพดานปาก ผมร่วง กล้ามเนื้ออ่อนแรงมีความผิดปกติของระบบประสาททั้งในทางความคิดและอาการที่แสดงออกมาทางร่างกาย ให้เห็น เช่น ชัก เกร็ง อ่อนแรง มีไข้ อ่อนเพลีย เป็นต้น มีผื่นดำที่คล้ายแผลเป็นตามใบหู รูหู หนังศีรษะและบริเวณศอก อาจมีอาการบวมๆ ยุบๆ ตามหนังตา ขา เท้าหรือมือ หากมีการตรวจเลือดก็มักจะพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ โลหิตจางหรือตรวจพบผลบวกของ ซิฟิลิสในเลือดทั้งๆ ที่ไม่เคยยุ่งกับใคร มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ อาจมีอาการเจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าลึกๆ หากคุณมีอาการผิดปกติดังกล่าว ถึงแม้ว่าอาจเป็นเพียงอาการใดอาการหนึ่งก็ควรพบแพทย์โดยด่วนเพื่อตรวจให้ถี่ถ้วน เพื่อรักษาแต่เนิ่นๆ

สาเหตุ SLE ในทัศนะการแพทย์ตะวันตก..

อ ถึงแม้ว่าปัจจุบันการแพทย์ตะวันตกมีความก้าวหน้าไปมากก็ตาม แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของ SLE เพียงแค่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนอง ต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางอย่างผิดปกติ ทำให้มีการสร้างแอนติบอดีหรือสารภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อต่างๆ ของตัวเอง SLE จึงจัดเป็นโรคภูมิต้านทานตัวเองเช่นเดียวกับโรคปวดข้อรูมาตอยด์ บางครั้งอาจพบสาเหตุที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ เช่น ยาบางชนิด การถูกแสงแดด การกระทบกระเทือนทางจิตใจ การตั้งครรภ์ เป็นต้น นอกจากนี้ SLE อาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์และ ฮอร์โมนเพศหญิงด้วยเนื่องจากพบมากในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็น SLE ผู้หญิงวัยหลังมี ประจำเดือนและก่อนวัยหมดประจำเดือน

สาเหตุ SLE ในทัศนะการแพทย์จีน...

การแพทย์จีนได้จัดโรค SLE ให้อยู่ในกลุ่มโรคที่เกิดจากเส้นลมปราณติดขัด และภาวะพิษเย็น-ชื้นที่สะสมในร่างกายมากเกินไป เมื่อความเย็นและความชื้นสะสมในร่างกายมากเกินไปก็จะเกิดความเป็นพิษต่อร่างกาย โรคปวดข้อรูมาตอยด์ก็เกิดจาก สาเหตุนี้เช่นกัน) พลังลมปราณและระบบการไหลเวียนของโลหิตที่สมบูรณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ ถ้าเส้นลมปราณ หลอดเลือดหรือกล้ามเนื้อถูกทำลายจาก พิษเย็น-ชื้นที่สะสมในร่างกาย ก็จะส่งผลให้พลังลมปราณและเลือดไหลเวียนช้าลงเกิดการคั่งของเลือดและพลังลมปราณ เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะนี้เป็นเวลานานจนไม่สามารถปรับตัวรองรับได้อีก การทำงานของร่างกายก็จะรวนไปหมดพร้อมทั้งแสดงอาการผิดปกติตามระบบต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ พิษร้อนจากแสงแดดที่แทรกเข้าไปทำลายสารเหลวต่างๆ ในร่างกายและระบบการไหลเวียนของโลหิตก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่จะทำให้เป็น SLE ได้เช่นกัน

วิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็น SLE...

การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีสำหรับผู้ป่วย SLE จะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้อาการต่างๆ ทุเลาลง

1. ควรหลีกเลี่ยงการออกกลางแดด ถ้าจำเป็นควรกางร่ม ใส่หมวก ใส่เสื้อแขนยาว
2. ควรพยายามหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เช่น อย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด อย่าเข้าใกล้คนที่ไม่สบาย อย่าเข้าไปในสถานที่ที่มีคนแออัด เป็นต้น
3. ควรหลีกเลี่ยงมิให้แอร์หรือพัดลมเป่าตรงๆ
4. ควรรับประทานอาหารประเภทที่มีแคลอรีสูงหรืออาหารที่อุดมด้วยวิตามิน ส่วนรส อาหารควรเน้นรสจืดและให้หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและรสจัด รวมทั้งควรงดสูบบุหรี่ด้วย
5. ควรทำจิตใจให้สบายเนื่องจากการรักษา SLE จะต้องใช้เวลายาวนานและไม่ว่าตัวโรค SLE เองหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตอรอยด์ต่างบั่นทอนสภาพร่างกายของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก รวมทั้งรูปร่างและหน้าตาที่เปลี่ยนไป เป็นหมันหรืออวัยวะบางส่วนอาจใช้งานไม่ได้ จึงมักจะทำให้ผู้ป่วยท้อแท้สิ้นหวังหรือวิตกกังวล แต่สภาพจิตใจที่ผ่อนคลายมีส่วนช่วยให้อาการต่างๆ ของ SLE ทุเลาลง

guest

Post : 2014-06-15 21:50:50.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานคืออะไร

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

ฮอร์โมนอินซูลินมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร

อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่งของร่างกาย สร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต ถ้าขาดอินซูลินหรือการออกฤทธิ์ไม่ดี ร่างกายจะใช้น้ำตาลไม่ได้ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมีอาการต่างๆของโรคเบาหวาน นอกจากมีความผิดปกติของการเผาผลาญอาหารคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีความผิดปกติอื่น เช่น มีการสลายของสารไขมันและโปรตีนร่วมด้วย

อาการของโรคเบาหวาน

คนปกติก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือด 70-110 มก.% หลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชม.ระดับน้ำตาลไม่เกิน 140 มก.% ผู้ที่ระดับน้ำตาลสูงไม่มากอาจจะไม่มีอาการอะไร การวินิจฉัยโรคเบาหวานจะทำได้โดยการเจาะเลือด อาการที่พบได้บ่อย

1. คนปกติมักจะไม่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะในเวลากลางดึกหรือปัสสาวะอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนน้ำตาลจะถูกขับออกทางปัสสาวะทำให้น้ำถูกขับออกมากขึ้น จึงมีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ และอาจจะพบว่าปัสสาวะมีมดตอม
2. ผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ
3. อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
4. ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลงเนื่องจากร่างกายน้ำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อ
5. อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน
6. คันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง สาเหตุของอาการคันเนื่องจากผิวแห้งไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง
7. เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัวต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสายตา เช่นสายตาสั้น ต้อกระจก น้ำตาลในเลือดสูง
8. ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากน้ำตาลสูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เพราะไม่รู้สึก
9.อาเจียน

 

น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเมื่อเป็นโรคนี้ระยะหนึ่งจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดเล็กเรียก microvacular หากมีโรคแทรกซ้อนนี้จะทำให้เกิดโรคไต เบาหวานเข้าตา หากเกิดหลอดเลือดเลือดแดงใหญ่แข็งเรียก macrovascular โดยจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพาต หลอดเลือดแดงที่ขาตีบนอกจากนั้นยังอาจจะเกิดปลายประสาทอักเสบ neuropathic ทำให้เกิดอาการชาขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ประสาทอัตโนมัติเสื่อม

guest

Post : 2014-06-15 21:49:31.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  โรคเลือดธาลัสซีเมีย

โรคเลือดธาลัสซีเมีย

โรคเลือดธาลัสซีเมียคืออะไร

เป็นโรคเลือดจางที่มีสาเหตุมาจากมีความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้มีการสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดผิดปกติ จึงทำให้เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ แตกง่าย ถูกทำลายง่าย ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จึงมีเลือดจาง โรคนี้พบได้ทั้งหญิงและชายปริมาณเท่าๆ กัน ถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรมพบได้ทั่วโลก และพบมากในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

โรคธาลัสซีเมียมีอาการดังนี้

ธาลัสซีเมียมีกี่ชนิด หลักๆก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ แอลฟาธาลัสซีเมีย และ เบต้าธาลัสซีเมีย
เบต้าธาลัสซีเมีย เบต้าธาลัสซีเมียจะเกิดขึ้นเมื่อสายเบต้าในฮีโมโกลบินนั้นสร้างไม่สมบูรณ์ครับ ดังนั้นฮีโมโกลบินจึงขนส่งออกซิเจนได้ลดลง ในเบต้าธาลัสซีเมียสามารถแบ่งออกได็เป็นหลายชนิดย่อยครับ ขึ้นอยู่กับว่ายีนของคุณสามารถสร้างสายเบต้าได้สมบูรณ์แบบมากแค่ไหน แอลฟาธาลัสซีเมีย แอลฟาธาลัสซีเมียเกิดขึ้นเนื่องจากฮีโมโกลบินในสายแอลฟามีการสร้างผิดปกติ โดยปกติแล้วจะมีแหล่งระบาดอยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ได้แก่ ไทย จีน ฟิลลิปปินส์ และบางส่วนของแอฟริกาตอนใต้

อาการโรคธาลัสซีเมีย

จะมีอาการซีด ตาขาวสีเหลือง ตัวเหลือง ตับโต ม้ามโต ผิวหนังดำคล้ำ กระดูกใบหน้าจะเปลี่ยนรูป มีจมูกแบน กะโหลกศีรษะหนา โหนกแก้มนูนสูง คางและขากรรไกรกว้างใหญ่ ฟันบนยื่น กระดูกบาง เปราะ หักง่าย ร่างกายเจริญเติบโตช้ากว่าคนปกติ แคระแกร็น ท้องป่อง ในประเทศไทยมีผู้เป็นโรคประมาณร้อยละ 1 ของประชากรหรือประมาณ 6 แสนคน โรคเลือดจางธาลัสซีเมียมีอาการแตกต่างกัน แบ่งได้หลายชนิด ตั้งแต่ไม่มีอาการใดๆ จนถึงมีอาการรุนแรงมากที่ทำให้เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือหลังคลอดไม่เกิน 1 วัน ผู้ที่มีอาการจะซีดมากหรือมีเลือดจางมาก ต้องให้เลือดเป็นประจำ หรือมีภาวะติดเชื้อบ่อยๆ หรือมีไข้เป็นหวัดบ่อยๆ ได้ ผู้เป็นโรคนี้จะแสดงอาการแตกต่างกัน มากน้อยแล้วแต่ชนิดของธาลัสซีเมียซึ่งมีหลายรูปแบบ ทั้งแอลฟา-ธาลัสซีเมีย และเบต้า-ธาลัสซีเมีย ซึ่งทั้ง 2 แบบมีมากมายหลายชนิด ถ้าคู่สมรสทราบประวัติครอบครัวของตนเองว่ามีโรคซีด โลหิตจาง หรือเลือดจางธาลัสซีเมีย ในครอบครัวหรือญาติพี่น้อง ญาติโยม ลูก หลาน ก็ควรจะตรวจดูก่อนแต่งงาน ถ้ามีครรภ์ควรปรึกษาสูติแพทย์ล่วงหน้า เพื่อเตรียมการตรวจพิเศษ หากบุตรในครรภ์เป็นภาวะนี้ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป

guest

Post : 2014-06-15 21:48:04.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  โรคไซนัส

โรคไซนัส

โรคไซนัส (Sinus)

ไซนัส (Sinus)นั้นแท้จริงแล้วก็คือโพรงอากาศในจมูกซึ่งมีหน้าที่ช่วยปรับความดันในโพรงจมูกระหว่างหายใจ และช่วยสร้างน้ำมูกที่จะช่วยกรอง พวกฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมต่างๆเพื่อให้ร่างกายได้รับอากาศหายใจที่บริสุทธิ์ ส่วนอาการไซนัสอักเสบนั้นสาเหตุหลักจะเกิดจากการ ที่จมูกได้รับมลพิษและสารระคายเคืองจากอากาศหายใจมากกว่าปกติ พอนานเข้าก็จะสะสมจนทำให้โพรงจมูกอุดตัน ทำให้มูกเหลวต่างๆนั้นไปคั่งค้างอยู่ในโพรงอากาศไซนัสและหากปล่อยทิ้งไว้ก็จะติดเชื้อและจบลงด้วยการเป็นโรคริดสีดวงจมูกในที่สุด

อาการของไซนัสอักเสบ

อาการของไซนัสอักเสบนั้นเมื่อเป็นแล้วจะมีอาการคล้ายกับเป็นหวัด มีน้ำมูก แน่นจมูก แต่สิ่งที่จะสังเกตุได้นั้นคือจะมีน้ำมูกไหลตลอดกว่า 10 วัน และลักษณะของน้ำมูกนั้นจะมีสีค่อนข้างเขียวข้น นอกจากนั้นยังมีเสมหะไหลลงคอทำให้ระคายเคืองเกิดการไอ โดยเฉพาะเวลากลางคืนจะ คัดจมูกปวดรอบๆจมูก หัวคิ้วหรือหน้าผาก ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องมีอาการครบทุกประการที่กล่าวไปข้างต้นอาจจะมีเพียงหนึ่งหรือสองประการก็ถือว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงในการเป็นโรคแล้ว ในระยะแรกนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับตัวผู้ป่วยเองที่จะวินิจฉัยตนเองว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ ระหว่าง โรคหวัด โรคภูมิแพ้ หรือ โรคไซนัส ทางที่ดีหากมีอาการผิดปกติควรให้แพทย์วินิจฉัยและตรวจช่องจมูก เพื่อทำการรักษาต่อไป ซึ่งในส่วนของการรักษานั้น แบ่งประเภทได้เป็นสองประเภทคือ การรักษาไซนัสอักเสบเฉียบพลันและการรักษาไซนัสอักเสบแบบ

การรักษา

โดยการรักษาไซนัสอักเสบเฉียบพลันนั้นแพทย์จะให้ยาปฎิชีวนะ เพื่อลดการอักเสบของการติดเชื้อ จากนั้นก็ให้ยาแก้คัดจมูกเพื่อลดบวมและขยายรูเปิดของไซนัส และอาจจะใช้น้ำเกลือล้างโพรงจมูกทำให้มูกในไซนัสอ่อนตัวลงและไหลออกมาได้ง่ายขึ้น แต่หากรักษาไปแล้ว 3 เดือน อาการก็ยังไม่ทุเลา จะถือว่าเป็นอาการไซนัสอักเสบแบบเรื้อรังซึ่งจะต้องมีการรักษาอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งก็คือการใช้การผ่าตัดเข้ามาช่วย เช่นการเจาะล้างจมูก หรือ การผ่าตัดส่องกล้องเป็นต้น

guest

Post : 2014-06-15 21:46:42.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  โรคตับอักเสบ

โรคตับอักเสบ

โรคไซนัส (Sinus)

ตับ เป็นอวัยวะที่สำคัญมาก มีหน้าที่หลายอย่าง เช่น การสร้างน้ำดี ช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน เก็บสำรองอาหาร โดยการเก็บ glucose ไปสะสมไว้ในเซลล์ตับ ในรูปของ glucogen และเมื่อร่างกายต้องการใช้ ก็จะทำการเปลี่ยน glucogen มาเป็น glucose ตับเป็นแหล่งสะสมวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ ดี และบี12 และยังทำหน้าที่ขจัดสารพิษที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ตับยังทำหน้าที่สร้าง วิตามินเอ จากสารแคโรทีน ซึ่งมีสะสมอยู่ในพวกแครอทและมะละกอ สร้างธาตุเหล็ก ทองแดง และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ยังทำหน้าที่กินและทำลายเชื้อโรค และเป็นแหล่งให้พลังงานความร้อนแก่ร่างกาย จะเห็นได้ว่าตับทำหน้าที่สำคัญมากมายให้แก่ร่างกายเรา ฉะนั้นหากเซลล์ตับถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพไป ก็จะมีผลเสียแก่สุขภาพของเรา เราจึงควรหมั่นตรวจสอบสมรรถภาพของตับอย่างสม่ำเสมอ การทดสอบสมรรถภาพของตับ ทำได้โดยทดสอบทางห้องชันสูตร แตผลการทดสอบไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า ตับปกติดีร้อยเปอร์เซนต์ หรือเสื่อมสภาพไป แต่การทดสอบสามารถบ่งชี้ถึงความเสื่อมสภาพที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ก็มีประโยชน์ในการแยกประเภทของโรค การติดตามการดำเนินของโรค และการติดตามผลการรักษาโรค โรคตับอักเสบ หมายถึง โรคที่เซลล์ของตับมีการอักเสบเกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการแพ้สารพิษ หรือการติดเชื้อจุลชีพ หรือติดเชื้อไวรัส ปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่ติดเชื้อจากไวรัส ตับจะบวมโต ผู่ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นบริเวณตับ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย บางรายมีไข้ต่ำๆ คลื่นใส้ และอาเจียน บางรายตัวเหลื่อง ตาเหลือง โรคตับอักเสบ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง อาการของผู่ป่วยจะคล้ายคลึงกัน ต้องอาศัยการตรวจเลือดเพื่อดูอาการของตับ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ทราบถึงตัวเชื้อต้นเหตุ และเป็นแนวทางในการดูแลป้องกันและรักษาผู้ป่วย โรคตับอักเสบที่เกิดจากไวรัสต่างชนิดกัน จะมีความรุนแรงและการรักษาต่างกันไปที่พบบ่อยเกิดจากเชื้อ

สาเหตุของตับอักเสบ อาจแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้

1. จากเชื้อโรค ซึ่งมีไวรัสเป็นหลัก
2. จากการดื่มสุรา 3. จากยาหรือสารพิษ มียามากมายเป็นร้อยๆ ตัว รวมทั้งสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการตับอักเสบ
4. จากการติดเชื้อ เช่น ไข้ไทฟอยด์บางราย เลปโตสไปโรซิส มาลาเรีย
โรคตับอักเสบจากไวรัส เป็นสาเหตุของตับอักเสบ ในขณะนี้มีมากกว่า 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ A – E และที่เพิ่มนอกเหนือจาก 5 ชนิด เช่น G, GB, F แต่ที่เราทราบพฤติกรรมของมันแน่ๆ จะมีเพียง 5 ชนิด ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคตับอักเสบที่เกิดจากไวรัส
ไวรัสตับอักเสบ A
ไวรัสตัวนี้พบในมนุษย์เท่านั้น เชื้อจะเริ่มกระจายจากในตุ่มน้ำตามผิวหนัง ชนิดนี้มีความรุนแรงน้อยที่สุดแต่พบบ่อยมาก มักจะมีการระบาดในกลุ่มของคนที่อยู่รวมกันมาก ๆ การติดต่อของไวรัสชนิดนี้จะติดต่อกันโดยทางอาหารหรือน้ำดื่มเท่านั้น เชื้อจะมีปนเปื้อนออกมา กับอุจจาระและปัสสาวะ คนที่เป็นแม่ครัวหรือพ่อครัว หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรุงอาหาร มีโอกาสจะทำให้เชื้อปนเปื้อนลงสู่อาหารและน้ำดื่ม นอกจากนั้น ก็มีรายงานในนม อาหารทะเล เชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นแล้วจะหายเป็นปกติแทบทุกคน และไม่สามารถเป็นพาหะของเชื้อต่อไปอีกได้ ร่างกายมักจะกำจัดเชื้อได้หมด บางรายอาจจะมีอาการเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก และหลังจากนั้นแล้ว มักจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคตลอดไป 
ไวรัสตับอักเสบ B
เจ้าตัวนี้เราต้องป้องกันได้ยากที่สุด และนับเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันใหญ่มากอันหนึ่ง ของประเทศไทยและทั่วโลก ไวรัสตับอักเสบ B มีทางติดต่อที่สำคัญคือ เพศสัมพันธ์ และสามารถติดจากแม่ไปสู่ลูกตั้งแต่ในครรภ์ ส่วนการรับเลือดนั้น ในปัจจุบันจะมีการตรวจกรองก่อนให้คนไข้ ว่าเลือดที่ได้จะปราศจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ B คนที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ B นั้น อาจจะมาจากผู้ที่ป่วยด้วยโรคตับอักเสบและหายแล้วไม่มีอาการแต่ไม่สามารกำจัดเชื้อได้หมด หรือได้รับเชื้อไปแล้วแต่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยแล้วยังคงมีเชื้ออยู่ในร่างกายตลอดไป มักจะไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ตลอดชีวิต และอาจจะเปลี่ยนไปเป็นโรคตับอักเสบชนิดเรื้อรัง หรือมีปัจจัยเสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งตับได้มากขึ้น ในประเทศไทยพบราว 7-10% ของประชากร ทำให้อัตราตายของโรคมะเร็งตับ ในประเทศไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของอัตราตายจากโรคมะเร็งทั้งหลายมาตลอด ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้บรรจุการฉีดวัคซีนสำหรับตับอักเสบ B ให้เป็นวัคซีนพื้นฐานจำเป็นที่เด็กไทยทุกคนจะได้รับเช่นเดียวกับโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โรคเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ B จึงมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในประชากรยุคต่อไป 
ไวรัสตับอักเสบ C
ติดต่อกันได้ทางหลักคือ ทางเลือด การแพร่เชื้อส่วนใหญ่ คือ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันของผู้ติดยาเสพติดโดยวิธีฉีด ส่วนการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาไปสู่ทารกในครรภ์นั้นพบได้น้อย ที่เหลือจะมีบ้างเช่นการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งนานๆ จะพบสักครั้งหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันเราจะตรวจกรองผู้ที่บริจาคอวัยวะทุกรายเช่นกัน ว่าปลอดจากไวรัสตับอักเสบ C ไวรัสตับอักเสบ C นั้นทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้ทั้งชนิดเฉียบพลัน เรื้อรัง และมีโอกาสก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับได้ คล้ายกับไวรัสตับอักเสบ B 
ไวรัสตับอักเสบ D
ไวรัสตับอักเสบ D นั้นไม่ได้เป็นตัวเดียวเดี่ยว ๆ มันจะต้องมีเปลือกหุ้มตัวของมันเป็นเปลือกของไวรัสตับอักเสบ B ดังนั้นตัวมันเองจึงทำอะไรไม่ได้ จำเป็นต้องมีไวรัสตับอักเสบ B อยู่ร่วมด้วยจึงจะก่อให้เกิดโรค 
ไวรัสตับอักเสบ E
การติดต่อ มักจะติดต่อทางน้ำและอาหาร แต่มีความรุนแรงมากกว่าไวรัสตับอักเสบ A และทำให้เป็นตับอักเสบรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ คล้ายกับไวรัสตับอักเสบ B ตัวนี้มักจะพบการระบาดเป็นพักๆ คือในประเทศที่เรื่องการสาธารณสุขค่อนข้างแย่หน่อย มีความแออัดในชุมชนสูง อาหารและน้ำไม่ค่อยสะอาด

อาการของโรค

หลังจากที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว ระยะแรกยังไม่มีอาการ ต้องมีระยะฟักตัวที่เชื้อจะเจริญเติบโต แพร่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีจำนวนมากพอที่จะก่อให้เกิดโรคได้ ระยะฟักตัวคือ ระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อ จนเกิดอาการของโรค ในเชื้อไวรัสแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป

ไวรัสตับอักเสบ A มีระยะประมาณ 15-45 วัน เฉลี่ย 30 วัน

ไวรัสตับอักเสบ B มีระยะประมาณ 30-180 วัน เฉลี่ย 60-90 วัน

ไวรัสตับอักเสบ C มีระยะประมาณ 15-100 วัน เฉลี่ย 50 วัน
 

อาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

มีอาการแบ่งได้เป็น 3 ระยะดังนี้ 
1. ระยะอาการนำ มีอาการกอ่อนเพลียมีไข้ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการคล้าย ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เบื่ออาหารมาก คลื่นไส้ อาเจียน อาจปวดท้องบริเวณชายโครงขวา มีท้องเสียได้ ปัสสาวะสีเหลืองเข้มผิดปกติ ฯลฯ อาการนำเป็นอยู่นาน 4 - 5 วัน จนถึง 1 - 2 สัปดาห์ 
2. ระยะอาการเหลือง “ดีซ่าน” ผู้ป่วยมีตาเหลือง ตัวเหลือง อาการทั่วไปดีขึ้น แต่ยังอ่อนเพลียคล้ายหมดแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือชายโครงขวาเนื่องจากตับโตบวมขึ้นผู้ป่วยตับอักเสบจากไวรัสพบว่ามีอาการดีซ่านเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่า 
3. ระยะฟื้นตัว อาจยังอ่อนเพลียอยู่ อาการข้างต้นหายไป หายเหลืองโดยทั่วไป ระยะเวลาของการป่วยนาน 2 - 4 สัปดาห์ จนถึง 8 - 12 สัปดาห์ มีอีกกลุ่มหนึ่งที่จะเปลี่ยนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาการทั้งหลายอาจจะหายไปหมดแล้ว หรือคงเหลือตัวเหลือง ตาเหลืองเพียงเล็กน้อย แต่ตรวจเลือดจะพบว่า ความผิดปกติของเอนไซม์ยังไม่หายไป คงอยู่นานเกินกว่า 3 สัปดาห์ เราจะเรียกว่าตับอักเสบเรื้อรัง มักจะพบในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ราว 1-2% ของคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ส่วนไวรัสตับอักเสบ A ไม่ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง และไวรัสตับอักเสบ C จะทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังได้เช่นกัน ประมาณ10%ของคนไข้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบBจะเป็นพาหะแพร่เชื้อต่อไปได้ตลอดชีวิต 
การรักษาโรคตับอักเสบจากไวรัส
ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การพักผ่อนเต็มที่ในระยะต้นจะทำให้อ่อนเพลียลดลง งดการออกแรงออกกำลังกาย การทำงาน งดการดื่มสุรา รับประทานอาการอ่อน ย่อยง่าย น้ำหวาน น้ำผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงอาการไขมันสูงในระยะที่มีคลื่นไส้ อาเจียนมาก ในรายที่อาการมากอาจให้สารน้ำเข้าเส้นเลือดดำ ให้ยาแก้คลื่นไส้ ยาวิตามินฯลฯ 
สำหรับโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ได้แก่
1. ให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในระยะที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ให้นอนพักบนเตียงจนกว่าจะหายเพลีย เมื่อรู้สึกว่าแข็งแรงแล้วจึงค่อยลุกจากเตียง ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็นการออกกำลังกายต้องค่อย ๆ เริ่มทีละน้อย ๆ ควรให้อาหารบำรุงร่างกาย แต่ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ควรงดอาหารนั้น และควรงดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด(จักรพันธุ์ ปัญจะสุวรรณ,2542) 2.ให้กินอาหารที่ได้แคลอรีมากๆโดยเฉพาะพวกโปรตีนต้องกินให้มากและลดอาหารพวกไขมันลง 
การป้องการทำได้โดย
1. ตรวจเลือดเพื่อทดสอบดูว่า เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ มาก่อนหรือไม่ ถ้าเคยได้รับมีภูมิต้านทานหรือเป็นพาหะของโรค 2. ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบก่อนที่จะได้รับเชื้อ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันน้องบีสุดน่ารักได้อย่างชะงัด (ประมาณเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว) แต่ก่อนฉีดคุณหมอก็คงจะต้องขอตรวจเลือดคุณก่อนว่าคุณมีภูมิคุ้มกัน (หรือคุ้มดีคุ้มร้ายหรือเปล่า) หรือยัง หรือคุณเป็นพาหะหรือเปล่า ซึ่งหลังจากตรวจสอบแล้วก็คงมีวิธีจัดการต่างๆกันไปตามแต่ละบุคคล

guest

Post : 2014-06-15 21:42:52.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  โรคพาร์กินสัน Parkinson การทำงานของสมอง

โรคพาร์กินสัน Parkinson การทำงานของสมอง

การทำงานของสมอง

 

  • สมองส่วนหน้าหรือ forebrain ส่วนนี้จะทำหน้าที่คิด จำ การควบคุมการเดิน อารมณ์ ความรู้สึก ทั้งหมดจะอยู่ที่สมองส่วนหน้า
  • สมองน้อยหรือ cerebellum จะทำหน้าที่ประสานงานให้การทำงานของกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างเรียบร้อย และยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว
  • เนื้อสมองส่วน 3,4 เป็นส่วนที่ทำกล้ามเนื้อทำงานประสานกัน เช่นเมื่อกล้ามเนื้อกลุ่มหนึ่งหดตัว กลุ่มตรงข้ามก็จะคลายตัว


 

โรคพาร์กินสันจะมีปัญหาการเสื่อมของสมองส่วนนี้ทำให้การสร้างสาร dopamine น้อยลงคโรคพาร์กินสันเป็นกลุ่มอาการที่ประกอบไปด้วย

  • อาการสั่นTremor โดยมากสั่นที่มือ แขน ขา กราม หน้า
  • อาการเกร็ง Rigidity จะมีอาการเกร็งของแขนและลำตัว
  • การเคลื่อนไหวช้าหรือที่เรียกว่า Bradykinesia ผู้ป่วยจะมีการเคลื่อนไหวของร่างกายช้าลง
  • การทรงตัวเสีย Postural instability
  • ผู้ป่วยมักจะไม่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นปกติ เช่นการยิ้ม การกระพริบตา การแกว่งแขน
  • พูดลำบาก พูดช้าพูดลำบาก เสียงเบาไม่มีเสียงสูงหรือต่ำ
  • กลืนลำบาก

 

โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังและเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโรคเป็นมากขึ้นผู้ป่วยจะเดินลำบาก พูดลำบาก ไม่สามารถช่วยตัวเองได้น เซลล์สมอง[ neurone ]ในส่วนที่เรียกว่า substantia nigra จะสร้างสารเคมีที่เรียกว่า dopamine สารนี้จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมไปยังสมองส่วนที่เรียกว่า corpus striatum ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อมีกำลังและประสานกันได้อย่างดี หากเซลล์สมองส่วนนี้ไม่สามารถสร้างสารดังกล่าวได้อย่างเพียงพอการทำงานของกล้ามเนื้อจะไม่ประสานงานกัน มือจะกระตุก ไม่สามารถทำงานที่ต้องประสานงานของกล้ามเนื้อหลายๆมัด สำสาเหตุที่ทำให้เซลล์เหล่านี้ตายก่อนวัยอันควรยังไม่ทราบ แต่เท่าที่สันนิฐานได้คือ

  • พันธุ์กรรม ผู้ที่มีญาติสายตรงคนหนึ่งเป็นจะมีความเสี่ยงเพิ่ม 3 เท่า หกมีสองคนความเสี่ยงเพิ่มเป็น 10 เท่า
  • อนุมูลอิสระ Free radicle จะทำลายเซลล์ประสาทส่วนนี้
  • มีสารพิษหรือ Toxin ซึ่งอาจจะได้รับจากอาหารหรือสิ่งแวดล้อมเช่น ยาฆ่าแมลง ทำลายเซลล์ประสาทส่วนนี้ carbon monoxide, alcohol, and mercury
  • พันธุกรรมโดยพบว่าผู้ป่วยร้อยละ15-20 มีประวัติครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ยังพบว่าหากมีการกลายพันธ์( mutation )ของโครโมโซมคู่ที่ 4 และ6ก็ทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน
  • เซลล์แก่ไวเกินไปโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ


 

นักวิจัยเชื่อการเกิดโรคนี้ต้องมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกันเริ่มแรกของโรคพาร์กินสันเป็นอย่างไร เนื่องจากโรคนี้จะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นผู้ป่วยอาจจะไม่ทราบ บางคนอาจจะมีอาการปวดตามตัว เพลีย สั่นหรือลุกยาก ส่วนใหญ่มักจะวินิจฉัยได้จากการสังเกตของคนใกล้ชิดว่ามีอาการผิดปกติเช่น ใบหน้าไม่ยิ้ม มือสั่น เคลื่อนไหวของมือหรือแขนน้อย

 

อาการของโรคพาร์กินสัน

เมื่อโรคเป็นมากขึ้นผู้ป่วยก็จะเกิดอาการชัดเจนขึ้น อาการของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันอาการที่สำคัญได้แก่

  • อาการสั่น Tremor อาการสั่นของผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีลักษณะเฉพาะ คือ จะมีการสั่นไปมาไของนิ้วหัวแม่มือและนิ้วอื่นประมาณ 3 ครั้งต่อวินาที คนที่ช่างสังเกตบอกอาการสั่นเหมือนกับคนกำลังปั้นเม็ดยา pill rolling โดยมากอาการสันมักจะเกิดที่มือ แต่ก็มีผู้ป่วยส่วนหนึ่งเกิดที่เท้า หรือกราม อาการสั่นจะเป็นขณะพัก จะเป็นมากเมื่อเกิดอาการเครียด อาการสั่นจะหายไปเมื่อเวลานอนหลับ หรือเมื่อเรากำลังใช้งาน อาการสั่นจะเป็นข้างหนึ่งก่อน เมื่อโรคเป็นมากจึงจะเป็นทั้งตัว
  • อาการเกร็ง Rigidity คนปกติเมื่อเวลาเคลื่อนไหวจะมีกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง และกล้ามเนื้อด้านตรงข้ามจะมีการคลายตัว โรคพาร์กินสันกล้ามเนื้อไม่มีการคลายตัวจึงทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความลำบาก หากเราจับมือผู้ป่วยเคลื่อนไหวจะมีแรงต้านเป็นระยะเหมือนกับมีดสปริง cogwheel rigidity
  • อาการเคลื่อนไหวช้า Bradykinesia ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวช้าและลำบาก งานประจำที่สามารถทำเองได้แต่ต้องใช้เวลามาก
  • สูญเสียการทรงตัว Postural instability ผู้ป่วยจะเดินหน้าถอยหลัง เวลาเดินจะเดินก้าวเล็กซอยถี่ๆ ทำให้หกล้มได้ง่าย

 

อาการของโรคพาร์กินสัน

  • ซึมเศร้า Depression
  • อารมณ์แปรปรวนเนื่องจาก
  • เคียวอาหารและกลืนอาหารลำบาก เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการกลืนทำงานไม่ประสานงานกัน
  • มีปัญหาในการพูด พูดเสียงจะเบาไม่ค่อยมีเสียงสูงหรือต่ำ พูดติดอ่าง บางที่ก็พูดเร็ว
  • มีปัญหาเรื่องท้องผูก
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • เนื่องจากผู้ป่วยไม่ค่อยได้ล้างหน้า ผิวหน้าจะมันและมีรังแค
  • มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ หลับยาก ฝันร้าย

guest

Post : 2014-06-15 21:40:49.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  ช็อคโกแลต ซีสต์1

ช็อคโกแลต ซีสต์1

ผู้หญิงหลายท่านอาจเกิดอาการปวดท้องเวลาเป็นประจำเดือน เพราะ prostaglandin ที่หลั่งออกมาในช่วงเป็นรอบเดือน นอกจากปวดท้องแล้วก็อาจจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน Prostaglandin : สารชนิดหนึ่งในร่างกายซึ่งคล้ายฮอร์โมน คือ ต้นเหตุที่ทำให้ปวดท้องขณะมีประจำเดือน และ เป็นสารชนิดที่ทำให้ผู้หญิงเราเกิดอาการปวดท้องตอนจะคลอดลูก... สารนี้จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัว เพื่อช่วยให้ร่างกายขับประจำเดือนออกมา บางท่านอาจเริ่มวิตกกังวลถึงโรคภัยที่ผู้หญิงมักจะกลัว ไม่ว่าจะเป็น เนื้องอก มะเร็ง ผังผืด ที่อาจพบในระบบสืบพันธุ์ โรคช๊อกโกแลตซีส (chocolate cyst : one having dark, syrupy contents, resulting from collection of hemosiderin following local)

1. คำจำกัดความของโรคช๊อกโกแลตซีส 
ช๊อกโกแลตซีส หมายถึง ''ถุงน้ำที่มีสารของเหลวสีคล้ายกับช๊อกโกแลตอยู่ภายใน'' ความรุนแรงมากพอสมควร การเรียกตามลักษณะที่เห็นความจริงแล้ว คำเต็มก็คือ..... ''โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ เอ็นโดเมทริโอซิส ปกติตัวเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก ควรจะอยู่เฉพาะภายในโพรงมดลูกเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ตัวเยื่อบุโพรงมดลูกนี้กระจายออกนอกตัวโพรงมดลูกไปเกาะอยู่ที่ใดก็ตามก็จะเป็นโรคของตำแหน่งนั้นเกิดขึ้น 
2. ในปัจจุบันพบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากน้อยแค่ไหน 
โรคนี้พบได้บ่อยขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย เราจะพบมากที่สุดก็คือ พบได้ 10- 20% ในกลุ่มของผู้ที่อยู่ในวัยที่มีประจำเดือน กลุ่มคนลูกยากจะเป็น 30-45% คำว่าผู้ป่วยที่มีลูกยากก็คือ คู่สมรสที่แต่งงานเกิน 1 ปี มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ และไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง 
3. กลไกที่ก่อให้เกิดโรค 
---ปัจจุบันนี้เรายังไม่ทราบกลไกที่ทำให้เกิดโรคที่แท้จริง แต่มีทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อถือคือ ทฤษฎีของแซมซัน จะมีเลือดประจำเดือนส่วนน้อยส่วนหนึ่งไหลกลับเข้าไปในช่องท้อง โดยผ่านท่อรังนำไข่ เลือดประจำเดือนที่ไหลเข้าสู่ช่องท้องก็จะนำเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกไปด้วย แต่ตำแหน่งของเซลล์นี้ถ้าไปฝังตัวอยู่ที่อวัยวะไหนก็จะทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นในอวัยวะนั้น ส่วนมากเราจะพบมากในบริเวณรังไข่ 
4. นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคอีกหรือไม่ 
ผู้หญิงปกติทุกคนจะมีการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน แต่บางคนเป็นโรค, บางคนไม่เป็นโรคขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยง คือ 
4.1 มีประวัติครอบครัว โดยเฉพาะทางมารดาหรือว่าพี่สาว, น้องสาวของผู้ป่วย ถ้าเกิดเป็นโรคนี้ตัวผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นโรคที่สูงขึ้นมากกว่าคนทั่วไป 3-10 เท่า
4.2 กลุ่มผู้ป่วยที่มีการทำงานของรังไข่นาน ๆ รังไข่ทำงานนานในกรณีที่เริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยหรือประจำเดือนรอบสั้น เดือนหนึ่งมีมากกว่า 2 ครั้ง หรือออกมากหรือออกนานมากกว่า 7 วัน
4.3 กลุ่มที่มีความผิดปกติโดยกำเนิด ของทางออกของประจำเดือน กรณีนี้เราจะเจอได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเยื่อพรหมจารีปิด 
5. ปัจจัยลดความเสี่ยงของโรคอยู่ 3 ปัจจัย คือ 
5.1 การตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์หลายครั้งโอกาสเป็นโรคก็จะน้อยลง การตั้งครรภ์ผู้หญิงจะไม่มีภาวะของการมีประจำเดือนไปเป็นเวลา 9-10 เดือน หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งยาคุมกำเนิดจะมีฮอร์โมนที่มีชื่อว่า โปเตสเซอโรน 
5.2 การออกกำลังกายมาก ๆ โดยเฉพาะการออกกำลังตั้งแต่วัยรุ่นจะต้องออกกำลังกายมากกว่าสัปดาห์ละ 7 ชม. อันนี้จะเป็นการลดฮอร์โมนเอสโตเจน เป็นผลทำให้เกิดโรคน้อยลง 
5.3 การสูบบุหรี่ จะทำให้เกิดเอสโตนเจนน้อยลง โอกาสการเกิดโรคก็จะน้อยลง แต่ที่กล่าวมาก็ไม่ ได้หมายความว่าจะสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนต้องสูบบุหรี่ 
6. ลักษณะอาการผิดปกติเบื้องต้นเป็นอย่างไร 
6.1 คนไข้จะมีอาการปวดประจำเดือนทุกเดือน แต่อาการปวดประจำเดือนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคนี้ ซึ่งลักษณะอาการปวด คือ มีอาการปวดอย่างรุนแรงและจะปวดมากขึ้นมากขึ้นทุกเดือน เป็นอย่างนี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ 
6.2 มีอาการเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ 
6.3 ผู้ป่วยจะมีบุตรยาก 
7. เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ 
อาศัยจากประวัติก่อนทำการตรวจร่างกายคนไข้ และจะมีการช่วยวินิจฉัยหลายอย่าง เช่น ....การทำอัลตราซาวด์ ส่องกล้อง ตรวจภายในอุ้งเชิงกราน การเจาะเลือดตรวจทูเมอร์ .... การวินิจฉัยโรค ถ้าเกินเราอัลตราซาวด์แล้วเราเห็นก้อนชัด ๆ ก็จะสามารถบอกได้ทันที แต่ในกลุ่มที่คนไข้ที่มีผลการตรวจคนไข้ไม่ชัดเจน กลุ่มนี้เรามักจะต้องใช้วิธีส่องกล้องตรวจภายในอุ้งเชิงกราน 
8. จะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกหรือไม่ 
--- ในกรณีที่เราผ่าตัดเอาเฉพาะพยาธิสภาพออก โดยที่เก็บตัวมดลูกและรังไข่ไว้คนไข้ ก็จะมีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีก 
9. อันตรายของโรคนี้มากน้อยแค่ไหน 
---ในกรณีที่เป็นมาก ๆ คนไข้ก็จะมีพังพืดเกิดขึ้นในอุ้งเชิงกราน ผังพืดที่เกิดขึ้นมีการรัดอวัยวะที่สำคัญหลายอย่าง เพราะฉะนั้นการผ่าตัดจำเป็นต้องอาศัยฝีมือขอศัลยแพทย์ที่ดี พอประจำเดือนมาครั้งต่อไป ตัวโรคก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นหากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ก้อนช๊อกโกแลตซีสเกิดแตก สารของเหลวที่อยู่ภายในก็จะออกมากระตุ้นเยื่อบุช่องท้อง ทำให้คนไข้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน 
10. การป้องกันควรทำอย่างไร 
เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือน ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการตรวจภายใน หรือ มีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน ในหญิงกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ เราอาจพิจารณณาให้การป้องกันด้วยการกินยาคุมกำเนิด เริ่มตั้งแต่วัยเริ่มมีประจำเดือนและหยุดยาต่อเมื่อมีบุตร ขอแนะนำให้ผู้หญิงที่แต่งงาน ตั้งครรภ์เร็ว ๆ

guest

Post : 2014-06-15 21:39:23.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  อาการผู้มีสารพิษในร่างกาย

ช่องคลอดสะอาดเกิน เกิดภัย

เนื่องจากบริเวณช่องคลอดนั้นมีเชื้อแบคทีเรียอยู่หลายชนิด แต่ก็มีประมาณ 15 ชนิด ที่เป็นประโยชน์ หลังรู้จักกลไกการทำความสะอาดภายในช่องคลอดตามธรรมชาติไปแล้ว คุณผู้หญิงก็จะยังต้องรักษาความสะอาดบริเวณภายนอกช่องคลอดอย่างถูกต้องโดยไม่ให้เสียสมดุล อาทิ แลคโตแบซิลลัส แบคทีเรียซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อ ส่งผลให้ช่องคลอดมีสภาพเป็นกรด ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตัวร้าย เมื่อเป็นเช่นนั้นการขจัดสิ่งสกปรกจึงต้องไม่ทำลายแบคทีเรียตัวดี ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นโดยเฉพาะแบบที่เป็นสบู่ผสมน้ำหอมนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้บ่อยครั้ง สามารถใช้น้ำสะอาดล้าง แต่ไม่ควรฉีดน้ำแรง ๆ เข้าช่องคลอด หรือล้างลึกลุกล้ำเข้าไปภายใน เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อที่อุ้งเชิงกราน สำหรับขนบริเวณอวัยวะเพศ ไม่ควรโกนทิ้ง เนื่องจากช่วยกรองฝุ่นละอองไม่ให้เข้าสู่อวัยวะเพศ ขณะที่อาการคันมักเกิดเพราะความอับชื้นของเหงื่อจากการสวมกางเกงชั้นในหรือกางเกงที่รัดแน่นเกินไป หากไม่เปลี่ยนขนาดเครื่องนุ่งห่ม นานวันไปอาจมีปัญหาเชื้อราตามมา ส่วนเรื่องของกลิ่นจากช่องคลอดซึ่งไม่เหม็นรุนแรงนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ โดยกลิ่นจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน สารเคมีในร่างกาย ช่วงการมีประจำเดือน หรือจากเหงื่อที่ขับออกมา อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ 3 เดือน คุณผู้หญิงควรใช้กระจกส่องดูอวัยวะเพศเพื่อสังเกตความผิดปกติของขนาดหรือสี หากมีลักษณะเปลี่ยนไปควรพบสูตินรีแพทย์ด่วน.

guest

Post : 2014-06-15 21:37:45.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  นอนไม่พอก็อ้วนได้

นอนไม่พอก็อ้วนได้

คุณเคยรู้สึกเหนื่อยจากการนอนไม่พอรึเปล่า? หลาย ๆ ครั้งคุณอาจรู้สึกง่วงนอนจากการนอนหลับไม่สนิท หรือนอนไม่เพียงพอ ทำให้ระหว่างวันรู้สึกหิวบ่อย และอยากกินตลอดเวลา เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มเติม หลายครั้งความรู้สึกอยากกินที่เกิดขึ้นกับคุณ คุณเองก็ไม่ได้รู้สึกหิวด้วยซ้ำ แต่มันเป็นความอยากมากกว่าย และเป็นไปได้สูงว่าคุณจะไม่ได้กินอาหารเพื่อสุขภาพแน่ ๆย หรือที่แย่ไปกว่านั้นบางคนเลือกกินอาหาร junk food เพื่อชดเชยพลังงานที่ร่างกายกำลังขาด ทำให้เสียสุขภาพ และอ้วนขึ้นได้ทันตาเห็น จากการศึกษาวิจัยพบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่าการการนอนไม่พอกับการกินมากเกินไป ในกรณีที่แย่ที่สุดคนที่นอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมงจะบริโภคอาหารมากกว่าคนที่นอนวันละ 8 ชั่วโมงได้มากถึง 550 แคลอรี่!ย นั่นเท่ากับในหนึ่งสัปดาห์คุณอาจมีน้ำหนักเพิ่มได้ถึง 52 ปอน์ด หรือประมาณ 23.6 กก. ในกรณีที่เลวร้าวสุด ๆ 
นอกจากนี้งานวิจัยทำให้เรารู้ว่าการอดนอนเป็นผลกระทบโดยตรงกับฮอร์โมนทำให้เรารู้สึกหิวมากกว่าเดิม และบางครั้งอาจถึงขั้นผิดปกติ ฮอร์โมน leptin ซึ่งเป็นตัวที่จะบอกสมองของคุณให้หยุดกินหรือส่งสัญญาว่า อิ่มแล้ว จะทำงานผิดปกติ และฮอร์โมนที่ชื่อว่า ghrelin ซึ่งเป็นตัวบอกสมองคุณว่า ฉันต้องกิน จะถูกหลั่งออกมาแทน ทำให้คุณกินมากขึ้นทันตาเห็นหรือไม่ก็รู้สึกโหยมากมีอาการอยากกินอย่างรุนแรง นอกจากนี้การอดนอนยังมีผลกระทบต่อฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายทำให้ร่างกายทำงานไม่เป็นปกติเช่น insulin, growth hormone, และ cortisol เป็นต้น ดังนั้นเพื่อที่จะป้องกันการกินอย่างบ้าคลั่งเกินความจำเป็น ที่เป็นผลจากการนอนไม่พอเรามาดูวิธีแก้ไขกันดีกว่า
1. กำจัดความเครียด เมื่อคุณเครียดน้อยลงจะทำให้คุณนอนหลับสบายขึ้น ฮอร์โมนที่ชื่อว่า Cortisol ซึ่งเป็นฮอร์นที่เกี่ยวข้องกับความเครียดจะเพิ่มเมื่อคุณรู้สึกเครียด ร่างกายคุณจะต้องมีระดับ Cortisol ที่ต่ำในระดับหนึ่งร่างกายคุณจึงจะสามารถพักผ่อนนอนหลับได้อย่างดี ดังนั้นพยายามจำกัดความเครียดทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นก่อนนอน เพื่อให้ระดับ Cortisol ลดลง ไม่ควรดูภาพยนตร์เครียด ๆ ก่อนนอน หรือดูข่าวรอบดึกก่อนนอน เพราะจะทำให้เครียดมากขึ้นไปอีก ข่าวส่วนใหญ่มักจะเป็นข่าวร้าย ถ้าคุณอยากรู้ข่าวจริง ๆ พรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นมาดูข่าวรอบเช้าก็ได้ แต่ก่อนนอนขอให้ทำจิตใจให้ผ่อนคลายและไม่เครียด จะเป็นผลดีต่อตัวคุณมากที่สุด นอกจากนี้ยังรวมถึงการอ่านนวนิยายที่ทำให้เครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง การฟังเพลงร๊อก เพลงรุนแรงก่อนนอน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน 
2. กำหนดเวลานอนที่ชัดเจน ร่างกายของคุณถูกสร้างขึ้นมาให้ชอบอะไรที่เป็นกิจวัตร หรือทำเป็นประจำจนเกิดความเคยชิน รวมทั้งการเข้านอนและตื่นนอนด้วย ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้านอนคือตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง ถึงสี่ทุ่มครึ่งอย่างไรก็ตามการนอนเร็วกว่านี้ไม่ใช่ปัญหา และคุณไม่ควรกินอาหารก่อนนอนอย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนักจากการย่อยอาหารเวลานอน หากคุณกินก่อนนอนร่างกายของคุณจะไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ 
3. ควบคุมอาหารและเครื่องดื่มก่อนเข้านอน คุณหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิด รวมถึงน้ำอัดลมด้วยเช่นกัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเพราะจะทำให้ระดับ insulin เพิ่มขึ้นและทำให้ร่างกายของคุณต้องเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นจากน้ำตาลที่กินเข้าไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่ ถ้าก่อนนอนคุณรู้สึกหิวมากคุณควรเลือกที่จะรับประทานโยเกิตแบบไขมันต่ำเพื่อสุขภาพ หรือกินอาหารที่เป็นส่วนประกอบของธัญพืชที่ปราศจากน้ำตาล อาหารที่จะไม่รบกวนการนอนคือนมถั่วเหลือง, โฮลเกรน, เมล็ดทานตะวัน และ ฮาเซลนัท เป็นต้น อย่างไรก็ตามไม่ควรรับประทานแล้วเข้านอนในทันที 
4. คำนวณชั่วโมงการนอนให้เหมาะสม จากการวิจัยเราได้ข้อสรุปว่าผู้ใหญ่ควรนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง ในขณะที่เด็กและวัยรุ่นควรนอน 9-9.5 ชั่วโมง และการนอนน้อยกว่าหกชั่วโมงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนตร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณจะมีสมาธิในการขับขี่ลดลง และคุณไม่ควร เก็บไว้รอวันหยุด หรืออดหลับอดนอนมาทั้งอาทิตย์ แล้วมาหลับยาวทีเดียวช่วงหยุดสุดสัปดาห์ การทำแบบนี้ทำให้เสียสุขภาพและฮอร์โมนในร่างกายจะทำงานบกพร่อง ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

guest

Post : 2014-06-15 21:36:26.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  ปวดศีรษะไมเกรน สาเหตุของปวดศีรษะไมเกรน

ปวดศีรษะไมเกรน สาเหตุของปวดศีรษะไมเกรน

สาเหตุที่แท้จริงของปวดศีรษะไมเกรนยังไม่มีใครทราบ แต่เชื่อว่าสมองของผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนมีการไวในการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจจะอยู่นอกร่างกาย หรืออยู่ภายในร่างกายทำให้หลอดเลือดมีการอักเสบเมื่อหลอดเลือดขยายจึงปวดศีรษะ

 

อาการ

  • ปวดศีรษะมักจะปวดข้างเดียว อาจจะสลับซ้ายขวาได้ ลักษณะปวดเป็นแบบตุ๊บๆๆๆ น้อยรายที่จะปวดพร้อมกันสองข้าง ปวดมากจนทำงานไม่ได้
  • ปวดศีรษะมากจนทำงานไม่ได้ บางคนปวดจนน้ำตาไหล ส่วนใหญ่ปวด 4-72 ชั่วโมง
  • ปัจจัยที่ทำให้ปวดศีรษะมากขึ้นคือการเคลื่อนศีรษะ
  • หลังปวดศีรษะอาจมีอาการคลื่นไส้ ถ้าเป็นมากจะอาเจียน
  • โดยมากจะมีสิ่งที่กระตุ้นทำให้ปวดศีรษะได้แก่ แสงจ้า เย็นหรือร้อนจัด เสียงดัง
  • โดยมากเป็นในอายุน้อย

 

อาการปวดศีรษะมักจะเริ่มช่วงวัยรุ่นเมื่ออายุมากขึ้นอาการปวดศีรษะจะดีขึ้น บางครั้งผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนอาจจะมีอาการนำ aura เช่นเห็นแสงแลบ ตามองไม่เห็น ชาซีกใดซีกหนึ่งเราเรียก classic migrain อาการปวดมักปวดบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ขมับและขากรรไกร อาการปวดมักปวดข้างใดข้างหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการนำเรียก common migrain ไม่เกรนเป็นโรครักษาไม่หายขาดแต่ถ้าเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำสามารถทำให้ควบคุมโรคได้

 

ไมเกรนกับคุณผู้หญิง

ผู้หญิงและผู้ชายเป็นไมเกรนได้ทั้งสองเพศแต่ผู้หญิงจะเป็นบ่อยกว่า บางคนปวดขณะมีประจำเดือนและหายไปเมื่อตั้งครรภ์ ผู้ป่วยบางคนเมื่อรับประทานยาคุมกำเนิดจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและถี่ขึ้น บางคนไม่เคยเป็นไมเกรนแต่หลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดก็เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน ทั้งนี้เนื่องจากยารักษาไมเกรนแต่ละชนิดจะมีส่วนผสมของเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนระดับต่างๆกัน อาจจะแก้ไขโดยการเปลี่ยนชนิดของยาคุมกำเนิดหรือใช้ยี่ห้ออื่น และเมื่อพบว่ายาคุมทำให้คุณปวดศีรษะเพิ่มขึ้นคุณควรไปปรึกษาแพทย์ สำหรับไมเกรนที่มีอาการนำเช่น ตาเห็นแสง ชาตามมุมปาก ตามนิ้วไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิด สำหรับคนที่ไม่เคยมีอาการดังกล่าวหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดแล้วเกิดอาการนำดังกล่าวให้ปรึกษาแพทย์ ชนิดของไมเกรน นอกจากไมเกรน 2 ชนิดดังกล่าว ยังมีไมเกรนอีกหลายชนิดดังนี้

  • Hemiplegic migraine มีอาการอ่อนแรงของแขนขาข้างหนึ่งเป็นระยะเวลาช่วงสั้นๆหรือบางคนอาจจะมีเวียนศีรษะ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีอาการปวดศีรษะตามมา
  • ophthalmoplegic migraine ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะร่วมกับหนังตาตก เห็นภาพซ้อน
  • Basilar artery migraine ก่อนอาการปวดศีรษะผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะ ทรงตัวไม่ได้ เห็นภาพซ้อน
  • Status migrainosus ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะนานกว่า 72 ชั่วโมงและมีอาการมากกว่าปกติ

guest

Post : 2014-06-15 21:34:47.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  ริดสีดวง มีอาการอย่างไร

ริดสีดวง มีอาการอย่างไร

ริดสีดวงจะมีอาการสำคัญก็คือการถ่ายอุจจาระออกมาเป็นเลือดสดๆทั้งนี้เนื่องจากการเบ่งถ่ายแรงๆ หัวริดสีดวงทวาร (กลุ่มหลอดเลือดดำขอด) จะปริแตกออกอาการส่วนมากจะมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก เป็นเลือดแดงสด เกิดขึ้นขณะถ่ายอุจจาระ อาจสังเกตมีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ หรือปนมากับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลออกเป็นหยดโดยไม่รู้สีกเจ็บปวดแต่อย่างไร บางคนอาจรู้สึกเจ็บที่ทวารหนัก และถ่ายอุจจาระลำบาก หรืออาจมีอาการคันก้น ถ้าริดสีดวงอักเสบ หรือหลุดออกมาข้างนอก อาจทำให้รู้สึกปวดรุนแรง จนถึงกับนั่งยืน หรือเดินไม่สะดวก และคลำได้ก้อนเนื้อนุ่มๆ สีคล้ำๆ ที่ปากทวารหนัก ถ้ามีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง อาจมีอาการซีดได้

 

การรักษาโรคริดสีดวงมีดังนี้ค่ะ คือ

  • ระวังอย่าให้ท้องผูก ควรดื่มน้ำมาก ๆ และกินผักผลไม้มาก ๆ ถ้ายังท้องผูก ให้กินยาระบาย เช่น ยาระบายแมกนีเซีย , ดีเกลือ , อีแอลพี หรือสารเพิ่มกากใย อย่ายืนนาน ๆ หรือนั่งเบ่งถ่ายนาน ๆ
  • ถ้าปวดมากเนื่องจากมีการอักเสบ ให้กินยาแก้ปวด , นั่งแช่ในน้ำอุ่นจัด ๆ วันละ 2-3 ครั้ง ๆ ละ 15-30 นาที และใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวาร เช่น อะนูซอล( Anusal), เชอริพร็อกต์ ( Scheriproct), พร็อกโตซีดิล(Proctosedyl) เหน็บวันละ 2-3 ครั้ง (เช้า ก่อนนอน และหลังถ่ายอุจจาระ) จนอาการบรรเทา ใช้เวลาประมาณ 10 วัน
  • ถ้ามีอาการซีดร่วมด้วยให้ใช้ เฟอร์รัสซัลเฟต วันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 เม็ด
  • ถ้ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย พบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรไปพบแพทย์อาจต้องใช้เครื่องส่องตรวจทวารหนัก ( proctoscope) ถ้าหากสงสัยเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ อาจต้องเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่ด้วยการสวน แป้งแบเรียม (Barium enema) หรือใช้เครื่องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ถ้าเป็นริดสีดวงทวาร โดย ไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรง ก็มักจะให้การรักษาดังได้กล่าวข้างต้น ถ้าเป็นมากอาจรักษาด้วย
  • การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงให้ฝ่อไป วิธีนี้สะดวก ปลอดภัย ไม่มีความเจ็บปวด มักจะฉีดสัปดาห์ละครั้งประมาณ 3-5 ครั้ง ช่วยให้หายขาดได้ 60% ส่วนอีก 40% อาจกำเริบได้ใหม่ หรือ อาจรักษาโดยวิธีใช้ยางรัด ( rubber bandligation) ทำให้หัวริดสีดวงฝ่อ หรือใช้ แสงเลเซอร์รักษา(laser photocoagulation) ถ้าเป็นมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจต้องผ่าตัด

guest

Post : 2014-06-15 21:33:05.0     Forum: รอบรู้สุขภาพ  >  อาการผู้มีสารพิษในร่างกาย

อาการผู้มีสารพิษในร่างกาย

 

สารพิษตกค้างที่สะสมในร่างกาย หากขับมาไม่หมด จะเป็นบ่อเกิดของอาการเหล่านี้

  • อาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด
  • ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ
  • มีแผลร้อนในในปากเป็นประจำ
  • ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมาก และระบบเผาผลาญทำงานน้อย ทำให้ร่างกายอ้วน
  • ขับถ่าย และละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า
  • อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
  • ประสาทตึงเครียด และร่างกายไม่แข็งแรง เพศสัมพันธ์เสื่อม
  • หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ขาวสดใส ผิวพรรณหยาบกร้าน
  • ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
  • เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
  • ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
  • ปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
  • เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
  • เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
  • มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
  • โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง
  • ริดสีดวงทวารภายนอก หรือภายใน

ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการล้างลำไส้ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้าง ออกจากร่างกาย ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย

guest

Post : 2014-06-12 14:44:00.0     Forum: ภาพโรงงานผลิตสินค้า  >  โรงงานหมอเส็ง

โรงงานหมอเส็ง

มั่นใจคุณภาพการผลิตมาตรฐานระดับสากล


          โรงงานผลิตยาสุมนไพร ตราหมอเส็ง ขนาดใหญ่และทันสมัยมีบุคคลากรที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และทรงคุณวุฒิมากมาย คอยดูแลและควบคุมทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพสุงสุดอยู่ตลอดเวลา สามารถผลิตได้ทันกับความต้องการของตลาดและรักษาไว้ซึ่งคุณภาพที่ดีที่สุด สำหรับผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

           โรงงานหมอเส็ง ได้ใบรับรองมาราฐาน GMP แห่งแรกในเขต 5 จากสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดสระบุรี วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 นายแพทย์ อัครเดช เพ็ญศรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระบุรี มอบใบประกาศนียบัตรรับรองการตรวจประเมินสถานที่ผลิตยาแผนโบราณ ตามหลักเกณฑ์มาตราฐาน GMP (Good Manufacturing Plactice) จากสมุนไพรให้แก่ บริษัท ฉัตรชัยแพทย์แผนโบราณ จำกัด โดยมี นายฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร (คุณหมอเส็ง) เจ้าของและกรรมการผู้จัดการเป็นผู้รับมอบ

ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง
ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง
ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง


 

guest

Post : 2014-06-12 14:37:58.0     Forum: ภาพโรงงานผลิตสินค้า  >  ประวัติคุณหมอเส็ง

ประวัติคุณหมอเส็ง

ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง


 

          ฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร แพทย์ที่ปรึกษาคลีนิคสุขภาพไตรเวชศาสตร์ด้านการแพทย์แผนตะวันออก หรือที่รู้จักกันดีในนาม "หมอเส็ง" หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทยและจีน ด้วยวัยกว่า 60 ปี กับการคลุกคลีอยู่กับร้านขายยาแผนโบราณมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก หมอเส็งจึงได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนในการปรุงยาอย่างละเอียดและจดจำตัวยา สมุนไพรทุกชนิดได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการผลิตหรือการปรุงยาจากสมุนไพรไทยและจีน ซึ่งสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก ที่นับวันจะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่น้อยคนเต็มที เพราะนอกจากจะอาศัยความรู้ความชัดเจนในเรื่องสมุนไพรแล้ว ยังต้องมีประสบการณ์อันยาวนาน ซึ่งประสบการณ์ ความสามารถเหล่านี้ หมอเส็งใช้เวลาเรียนรู้สั่งสมมาจนแตกฉาน…

          บ้านเดิมผมอยู่ที่บางคล้า แปดริ้ว เป็นร้านขายยาสมุนไพร รักษาโรคทั่วไป ทั้งก๋งและเตี่ย หรือเรียกว่าทั้งตระกูลผมเป็นหมอยา ซึ่งมีความชำนาญด้านสมุนไพรมาตลอด เตี่ยผมเป็นหมอมาจากเมืองจีน แกจะสอนผมให้รู้จักการใช้สมุนไพร ซี่งการศึกษาแพทย์แผนโบราณนั้นยากมากต้องเรียนรู้ถึงสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละ ชนิด ถ้าจะใช้สมุนไพรรักษาโรคให้ถูกหลักและให้ออกฤทธิ์รักษาอย่างได้ผลต้องแตกฉาน สมุนไพรเพียงชนิดเดียวไม่สามารถรักษาได้ผล ต้องนำสมุนไพรแต่ละชนิดนำมาผสมผสานกันจึงจะออกฤทธิ์ในการรักษาอย่างได้ผล และจะต้องวินิจฉัยโรคของคนไข้ให้ดีเสียก่อนจึงจะปรุงยารักษาให้ซึ่งสิ่ง เหล่านี้ผมได้รับการเรียนรู้มาอย่างลึกซึ้ง

          กระทั่งได้แยกตัวออกมาเปิดร้านของตัวเองที่กรุงเทพฯ รักษาโรคทั่วไปเป็นหมอคู่กับเตี่ยมาตลอด จนเตี่ยอายุมากจึงวางมือให้หมอเส็งดำเนินการต่อไป เพราะเห็นว่าความรู้ความสามารถของหมอเส็งเป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจได้แล้ว หมอเส็งได้ไปสอบใบอนุญาต จากกระทรวงสาธารณสุขทั้งทางด้านเวชกรรมและเภสัชกรรม ซึ่งคนที่จะไปสอบได้ต้องมีความรู้ด้านสมุนไพรเป็นอย่างดี ไม่ใช่ใครก็ไปสอบได้ ซึ่งเมื่อสมัยนั้นร้านขายยาแผนโบราณยังมีไม่มากนัก ต่อเมื่อมียาแผนปัจจุบันเข้ามา หมอเส็งก็ขายยาแผนปัจจุบันควบคู่กันไปด้วย ทั้งขายทั้งเป็นหมอไปในตัว พอมาระยะหลังยาฝรั่งเริ่มมาแรง ผู้คนหันไปนิยมกันมากขึ้นด้วย เหตุเพราะกินง่ายและไม่มีกลิ่นฉุนเหมือนยาแผนโบราณ ขณะเดียวกันการแข่งขันของยาแผนปัจจุบันได้ขยายตัวสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว หมอเส็งจึงหันมาเน้นในเรื่องของสมุนไพรทั้งไทยและจีนตามที่ตัวเองถนัดมาก ขึ้น โดยเฉพาะการรักษาโรคเกี่ยวกับสตรี ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ เลือดลม หรืออาการทางสมองที่เรามักจะพบในคนสูงอายุ โดยเฉพาะการรักษาโรคเกี่ยวกับสตรี หมอเส็งได้เพียรพยายามศึกษามากกว่า 10 ปี และได้ค้นพบศาสตร์อันมหัศจรรย์ แห่งสมุนไพรไทย ที่ชื่อ "ว่านชักมดลูก" จนเป็นเจ้า ตำรับยาว่านชักมดลูกอันลือลั่นทั่วเมืองไทยอยู่ในขณะนี้

          บัดนี้ "หมอเส็ง" ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายรายการภายใต้ชื่อ " ไดมอนด์ " ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามและสุขภาพ สินค้าทุกรายการได้รับอนุญาตจาก อย. กระทรวงสาธารสุขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

guest

Post : 2014-06-12 14:24:57.0     Forum: ภาพโรงงานผลิตสินค้า  >  ใบอนุญาตของ

ใบอนุญาตของ "หมอเส็ง"

ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง
ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง
ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง
ยาว่านชักมดลูกตราหมอเส็ง

1